สวัสดีครับ วันนี้ครูเชียงรายจะพาเพื่อนครูทุกคนมาทำความเข้าใจแนวทางการพัฒนาสู่ตำแหน่ง “ครูเชี่ยวชาญ” ตามระบบ วPA หรือเกณฑ์ ว 9/2564 ที่ครูหลายคนกำลังสนใจอยู่ในขณะนี้ บทความนี้อ้างอิงจากคลิปสัมมนา “ห้องเรียนอารมณ์ดี” วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเจาะลึกประสบการณ์ตรงจากครูเชี่ยวชาญที่ผ่านการประเมินมาแล้ว
ทำไมเกณฑ์ วPA ถึง “ง่ายขึ้น” และ “เป็นไปได้จริง”
ระบบประเมินวิทยฐานะแบบใหม่มีจุดเด่นหลายด้าน:
- ลดขั้นตอนและภาระ: จากเดิมที่ต้องเตรียมเอกสารจำนวนมากและต้อนรับคณะกรรมการ เกณฑ์ใหม่ไม่ต้องมีการประเมินที่โรงเรียน และใช้ผลงานทางวิชาการเพียงชิ้นเดียว
- ลดค่าใช้จ่าย: ไม่ต้องใช้งบสูงในการเตรียมเอกสารหรือจัดงานต้อนรับ อาจมีแค่ค่าอัดคลิปหากทำเองไม่ได้
- ใช้เวลาน้อยลง: การเตรียมผลงานใช้เวลาประมาณ 1–1.5 เดือน และรู้ผลภายใน 8–10 เดือน
- เน้นผลลัพธ์กับนักเรียน: ครูจะผ่านได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนได้รับประโยชน์จริง
ก้าวแรกสู่ “ครูเชี่ยวชาญ” ต้องเริ่มที่ห้องเรียนของเรา
หัวใจของ dPA คือการพัฒนา “ผู้เรียน” ไม่ใช่การสะสมผลงานหรือรางวัล
- ต้องศึกษาเกณฑ์อย่างละเอียด
- โฟกัสที่การพัฒนาการเรียนการสอนของตัวเอง
- ผลงานต้อง คิดค้นและปรับเปลี่ยน ไม่ใช่แค่ลอกแนวทางมาใช้
- ผลงานที่ดีต้อง นำไปใช้ได้จริง และเกิดผลกับผู้เรียน โรงเรียน และชุมชน
หลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่น dPA
- แผนการจัดการเรียนรู้ 1 แผน (เวลา 1 ชั่วโมง)
- คลิปวิดีโอแรงบันดาลใจ (10 นาที)
- คลิปจัดการเรียนการสอน (60 นาที)
- ผลลัพธ์การเรียนรู้จากนักเรียน (3 ไฟล์/คลิป)
- ไฟล์ผลงานทางวิชาการ 1 ชิ้น
เทคนิคที่หลายคนใช้คือให้นักเรียนช่วยถ่ายคลิป หรือรวมกลุ่มครูช่วยกันทำ เพื่อลดต้นทุน
ตัวอย่างงานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์เชี่ยวชาญ
- ครูเก๋: พัฒนารูปแบบการสอนบทประพันธ์ (กาพย์ยานี 11) ให้เด็ก ป.5 เข้าใจง่ายและแต่งเป็น
- ครูจินตนา: วิจัย R&D พัฒนาหลักสูตรเสริมชีววิทยา โดยใช้ทฤษฎีทางการศึกษาออกแบบวิธีการเรียนแบบใหม่
ทั้งสองท่านยืนยันว่า วPA ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทำจริงในห้องเรียนอย่างต่อเนื่อง
ครูดีต้องเริ่มจาก “เด็กเรียนรู้ได้จริง”
เกณฑ์ dPA ไม่ได้ให้คะแนนรางวัลหรือเกียรติบัตรจากภายนอกโดยตรง
แต่ถ้าครูพัฒนาตัวเองเสมอ รางวัลก็จะตามมาโดยธรรมชาติ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ “เด็กของคุณต้องเชี่ยวชาญก่อน คุณถึงจะเชี่ยวชาญ”