ลงทะเบียนแก้ปัญหาหนี้สินครู
https://td.moe.go.th/app/main/index.php
โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู”สร้างโอกาสใหม่ให้ครูไทย”
กระทรวงศึกษาธิการและสหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้นแบบ จำนวน 12 แห่ง ร่วมกันพัฒนาระบบบริหารจัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครู เพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับพื้นที่นำร่อง โดยมีเป้าหมายหลักดังนี้
1) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสหกรณ์ออมทรัพย์ให้ต่ำลงไม่เกิน 3%
1.1) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน เฉลี่ย 0.45 – 1.30%
1.2) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสหกรณ์ออมทรัพย์อยู่ในระดับ 3.5 – 4.5% ถือว่าสูงผิดปกติ จำเป็นต้องกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ต่ำลงเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อเงินกู้ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 0.5% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงเป็นต้นทุนส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่สูง สร้างภาระให้ “ครูผู้กู้” และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสหกรณ์ที่มีความแตกต่างจากในระบบมาก สร้างความเสี่ยงที่จะทำให้มี “สมาชิกแฝง” เพราะ search for yield ปัจจุบันบางสหกรณ์จำกัดวงเงินที่สมาชิกแต่ละคนจะฝากได้
2) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้องกับสินเชื่อที่มีอัตราความเสี่ยงต่ำ 4.5 – 5.0%
2.1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ โดยเฉลี่ย 6 – 9%
2.2) อัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงิน โดยเฉลี่ย 4 – 11%
2.3) สินเชื่อที่มีการหักชำระหนี้จากเงินเดือนของข้าราชการ ถือเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ (default risk) ต่ำมาก และเป็นสินเชื่อที่หน่วยงานต้นสังกัดทำหน้าที่จัดเก็บและนำส่งให้ (collection) ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับสินเชื่อที่มีการหักเงินเดือนของข้าราชการครู จำเป็นต้องอยู่ในระดับต่ำไม่เกินกว่า 4.5% ต่อปีสำหรับสินเชื่อทั่วไป และไม่เกินกว่า 3.5% ต่อปีสำหรับสินเชื่อบ้าน
2.4) การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 1% กรณีเงินกู้ 1 ล้านบาท ลดดอกเบี้ยได้ปีละ 10,000 บาท ถ้าเงินกู้ 3 ล้านบาท ลดดอกเบี้ยได้ปีละ 30,000 บาท ทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้เดือนละ 2,500 บาท
3) จัดสรรผลกำไรมาเพิ่มเงินเฉลี่ยคืนเงินกู้ให้มากขึ้น ไม่น้อยกว่า 30% ของผลกำไร
3.1) การจัดสรรผลกำไรมาเพิ่มเงินเฉลี่ยคืนเงินกู้ให้มากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น เช่น ลดเงินปันผลหุ้น งบบริหารจัดการ เงินโบนัสและค่าตอบแทนกรรมการ สวัสดิการที่ไม่จำเป็น และงบลงทุน
3.2) ดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยคืน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20
3.3) สมาชิกสามารถนำเงินเฉลี่ยคืนเงินกู้มายุบยอดหนี้ให้ลด
4) การบริหารความเสี่ยง การสร้างหลักประกันเงินกู้ การปรับลดบุคคลค้ำประกัน และปรับลดการซื้อประกันในส่วนที่ไม่จำเป็นลง
การบริหารความเสี่ยงของสินเชื่อสำหรับสินเชื่อที่ตัดเงินเดือนข้าราชการต้องไม่สร้างภาระให้กับข้าราชการมากเกินความเสี่ยงที่แท้จริง โดยผู้ให้บริการจำเป็นต้องคำนึงถึงภาระที่ครูจะต้องจ่ายเพิ่มเติมให้เป็นไปอย่างเหมาะสม กระทรวงศึกษาธิการสามารถต่อรองให้เบี้ยประกันภัยถูกลง เช่น การจัดสวัสดิการจัดทำประกันชีวิตหมู่ ล้านละ 2,400 บาท/ปี ใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ อนึ่ง เมื่อความเสี่ยงที่กล่าวมา ถูก cover หมดแล้ว ผู้ให้บริการไม่สามารถที่จะเรียกให้มีการค้ำประกันโดยบุคคลเพิ่มเติม
5) การปรับโครงสร้างหนี้
5.1) แก้ไขระเบียบและมติที่เป็นอุปสรรคต่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
5.2) การชะลอฟ้อง การชะลอบังคับคดี และไกล่เกลี่ย
5.3) รวมหนี้จากทุกสถาบันการเงินมาไว้ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาในอัตราร้อยละ 2.5%
5.4) การปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ให้แก่สมาชิกที่เตรียมเกษียณอายุราชการ
5.5) กลุ่มที่ผิดนัดชำระหนี้ดำเนินการปรับยอดการชำระขั้นต่ำมากกว่า 1% ต่อปีของยอดกู้ขึ้นไป โดยให้ชำระภายใน 240 งวด ทั้งนี้ให้ตัดจ่ายเงินต้นก่อน
5.6) ปรับลดการส่งค่าหุ้นรายเดือน
6) จัดทำฐานข้อมูลสมาชิกและการเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับสถาบันการเงิน และต้นสังกัด
6.1) การจัดทำฐานข้อมูลหนี้สมาชิกของสหกรณ์
6.2) เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับสถาบันการเงิน หรือเป็นสมาชิกของเครดิตบูโร
6.3) เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับส่วนราชการต้นสังกัด
7) ร่วมกับส่วนราชการต้นสังกัดหัก ณ ที่จ่าย ควบคุมยอดหนี้ไม่ให้เกินความสามารถในการชำระหนี้ของสมาชิกสหกรณ์ ให้มีเงินเดือนเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 30
7.1) การควบคุมยอดหนี้ไม่ให้เกินความสามารถในการชำระหนี้ของสมาชิกสหกรณ์ จะต้องมีเงินเดือนสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 30
7.2) การประสานงานกับส่วนราชการต้นสังกัดหัก ณ ที่จ่าย ด้านข้อมูลและหลักฐานประกอบการพิจารณาหัก ณ ที่จ่าย จะต้องมีเงินเดือนสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 30
8) สร้างระบบพัฒนาและดูแลสมาชิก ให้ความรู้เสริมสร้างวินัยและการวางแผนทางด้านการเงิน การสร้างอาชีพเสริม ลดรายจ่าย เพิ่มการออม และไม่ก่อหนี้เพิ่ม
8.1) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความรู้ด้านการเงินจัดทำหลักสูตรพัฒนาข้าราชการครู เพื่อให้มีความรู้ทางด้านการวางแผนทางการเงิน การบริหารจัดการ และการสร้างวินัยทางการเงินและการออม จัดอบรมแบบออนไลน์
8.2) สร้างอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่ม
8.3) กระทรวงศึกษาธิการกำหนดแนวปฏิบัติให้ส่วนราชการปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวง ศึกษาธิการว่าด้วยการหักเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ. 2551 อย่างเคร่งครัด
อ้างอิง
https://sites.google.com/view/teachersdebt
https://td.moe.go.th/app/main/index.php