การเขียนรายงาน

การจัดทำรายงานการค้นคว้า

            การเขียนรายงานการค้นคว้า เป็นการนำเสนอข้อมูลความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ แล้วนำมาเรียบเรียงโดยมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน เช่น  รายงาน   รายงานวิชาการ  เป็นต้น

ความหมายและประเภทของรายงานการค้นคว้า

            รายงาน  ( report)  เป็นเอกสารทางวิชาการที่ได้รวบรวมและเรียบเรียงขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อใช้เสริมความรู้และทักษะในรายวิชาที่กำลังศึกษาอยู่

            รายงานวิชาการ ( report)  หมายถึง  รายงานการค้นคว้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ  เพื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาใดวิชาหนึ่ง (ในรายวิชาหนึ่งอาจมีรายงานวิชาการได้หลายเรื่อง )

รายงาน และรายงานวิชาการ คืองานเขียนที่เรียบเรียงขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่กำหนด เพื่อเสนอต่อผู้สอน โดยถือว่างานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอนของวิชานั้นๆ ผู้เขียนต้องวางรูปแบบรายงานให้เป็นไปตามแบบแผนที่สถานศึกษานั้นๆ  กำหนดไว้

ขั้นตอนการจัดทำรายงานการค้นคว้า

  1. การเลือกเรื่องหรือหัวข้อ
  2. การค้นคว้าและรวบรวมแหล่งค้นคว้า
  3. การวางโครงเรื่อง
  4. การอ่านและจดบันทึกข้อมูล
  5. การเรียบเรียงเนื้อเรื่อง
  6. การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง
  7. การเขียนส่วนประกอบอื่นๆ ( ปกนอก หน้าปกใน  คำนำ  สารบัญ )

 

การเลือกเรื่องหรือการกำหนดหัวข้อ

  1. เลือกเรื่องที่ชอบหรือสนใจ

การได้ทำในสิ่งที่ชอบหรือสนใจจะช่วยให้ทำงานด้วยความสุข รู้สึกสนุกเพลิดเพลินในขณะที่ทำการศึกษาค้นคว้า  ได้รับความรู้ในสิ่งที่สนใจอยู่แล้ว เกิดความกระตือรือร้นและทุ่มเทความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ท้อแท้หรือเบื่อหน่ายกับการต้องทำงานหนัก ต้องแก้ปัญหาอุปสรรคที่อาจมีเป็นของธรรมดา การเลือกเรื่องที่สนใจจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จและประสิทธิภาพของงาน  เช่น  นักเรียนที่ชอบเล่นดนตรี ก็อาจค้นคว้าทำรายงานเรื่องเกี่ยวกับดนตรี  ผู้ที่สนใจติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  อาจเลือกทำเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี  เป็นต้น

  1. เลือกเรื่องที่มีพื้นความรู้อยู่พอสมควร

การที่ผู้ทำรายงานมีพื้นความรู้อยู่บ้างจะช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น  ไม่ต้องเสียเวลามากนักในการค้นหาข้อมูลพื้นฐาน  ทั้งยังทำให้มองเห็นแนวทางในการในการกำหนดขอบเขตทิศทางและเค้าโครงของเรื่องและของการศึกษาค้นคว้าได้อย่างเหมาะสมและชัดเจน  ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเรื่องหรือหัวข้อที่เกี่ยวกับรายวิชาที่กำลังศึกษาอยู่  นักเรียนมักจะมีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้ว  เช่น  นักเรียนสายชีววิทยา อาจมีพื้นความรู้ที่จะช่วยให้เหมาะสมที่จะทำรายงานเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ขั้วโลก   เป็นต้น

  1. เลือกแหล่งที่มีข้อมูลเพียงพอ

การศึกษาค้นคว้าที่ดีต้องมีแหล่งข้อมูลหลากหลายและทันสมัย  ดังนั้นเมื่อสนใจหัวข้อใดจึงควรสำรวจแหล่งค้นคว้าให้แน่ใจว่ามีเพียงพอ  เหมาะสมกับหัวข้อและวัตถุประสงค์ของการทำรายงาน  ถ้าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่น่าสนใจแต่ไม่สามารถหาแหล่งข้อมูลได้อย่างเพียงพอก็ยากที่จะทำให้สำเร็จ  เช่น นักเรียนสนใจจะทำรายงานเรื่องพืชพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ  แต่ยังไม่มีข้อมูลให้ค้นมากเพียงพอ ก็ไม่สามารถเลือกเรื่องดังกล่าวได้

  1. เลือกเรื่องที่มีประโยชน์

เรื่องที่เมื่อศึกษาค้นคว้าแล้วมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ทั้งแก่ตัวผู้ค้นคว้าเองและแก่ผู้อื่น เช่นทำให้เกิดความรู้  ความคิด  ประสบการณ์  เกิดทักษะใหม่ๆ หรือค้นพบสิ่งใหม่  หรือนำผลรายงานไปใช้แก้ปัญหา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น  เป็นต้น  ดังนั้นจึงไม่ควรเลือกทำเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว เป็นการเสียเวลาเปล่าโดยไม่ได้รับความรู้หรือประโยชน์ใดๆ เพิ่มขึ้นมา 

ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้สอนมอบหมายให้ทำรายงาน  นักเรียนเลือกทำเรื่องเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงโคเนื้อ เพราะที่บ้านบิดามารดามีอาชีพเลี้ยงโคเนื้อ  หรือการศึกษาเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจของสังคม เป็นหัวข้อที่น่าสนใจหยิบยกมาศึกษาค้นคว้าทำรายงาน  เช่นเรื่องของคลื่นสึนามิ  เรื่องแผ่นดินไหว  เรื่องก๊าซโซฮอล์หรือพลังงานประเภทต่างๆ เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม   เป็นต้น

  1. เลือกเรื่องที่มีขอบเขตเหมาะสม

สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ควรกำหนดขอบเขตของเรื่องให้เหมาะพอดี  ไม่กว้างหรือแคบเกินไป เรื่องที่มีขอบเขตกว้างเกินไปจะไม่สามารถเจาะลึกในรายละเอียดเท่าที่ควร  จะเป็นเรื่องที่มีข้อมูลผิวเผินพื้นฐานเท่านั้น  ทำให้เสียเวลานานแต่ขาดรายละเอียดในประเด็นที่ควรเน้น ทำให้ผลงานไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ส่วนหัวข้อที่แคบเกินไป จะมีปัญหาเรื่องการค้นหาข้อมูลที่มีแหล่งข้อมูลจำกัด และในด้านคุณภาพและปริมาณของงานก็อาจจะไม่เหมาะสมเพียงพอ ดังนั้นการเลือกเรื่องหรือหัวข้อรายงานจึงต้องคำนึงถึงขอบเขตของเนื้อเรื่องให้เหมาะสมพอดี

ปัจจัยสำคัญในการกำหนดขอบเขตของเรื่อง

การกำหนดขอบเขตของเรื่องมีความสำคัญมาก รายงานที่ดีต้องมีขอบเขตของเรื่องที่เหมาะสม ไม่กว้างเกินไปหรือแคบเกินไป ปัจจัยที่ควรคำนึงในการกำหนดขอบเขตของเรื่องมีดังต่อไปนี้

  1. ความยาวของเรื่อง ควรมีความยาวเพียงพอที่จะเสนอข้อมูลได้ครบถ้วน รายงานที่มีเนื้อเรื่องยาวย่อมกำหนดขอบเขตได้กว้างกว่าเรื่องสั้นๆ
  2. เวลา งานที่มีเวลาทำมากย่อมมีขอบเขตและความลุ่มลึกมากกว่างานที่ใช้เวลาสั้นๆ
  3. แหล่งข้อมูล เช่น  ห้องสมุดขนาดใหญ่  หรือในเมืองใหญ่ๆ จะมีความสะดวกในการเข้าถึงฐานข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น  อินเทอร์เน็ต 

การกำหนดขอบเขตในการตั้งชื่อเรื่อง

เมื่อตัดสินใจเลือกเรื่องหรือหัวข้อได้แล้ว ต้องมีการตั้งชื่อเรื่อง สิ่งที่ต้องคำนึงคือ  ชื่อเรื่องควรจะแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของเรื่องด้วย ไม่ควรกว้างหรือแคบเกินไป  เช่น  นักเรียนสนใจเรื่อง“ปัญหาเศรษฐกิจ”

จะตั้งชื่อเรื่องว่าปัญหาเศรษฐกิจ   ไม่สมควรอย่ายิ่ง  เพราะชื่อนี้คลุมขอบเขตกว้าง นักเรียนต้องจำกัดให้แคบเข้า  ให้เหมาะสมกับเวลาในการจัดทำและวัตถุประสงค์ของการทำรายงานการค้นคว้า 

                 วิธีการกำหนดหัวข้อ  มีวิธีดังนี้

  1. วิธีการจำกัดขอบเขตให้แคบลง ทำได้หลายวิธีดังนี้
    • การจำกัดขอบเขตโดยหัวข้อย่อยหรือประเด็นสำคัญ ตัวอย่างเช่น

จากหัวข้อ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบลงโดยเลือกเฉพาะบางประเด็น ในชื่อ

“การปั่นหุ้น”

  • การจำกัดขอบเขตโดยกำหนดกลุ่มของบุคคล ตัวอย่างเช่น

จากหัวข้อ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบลงในชื่อ “ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรไทย”

  • การจำกัดขอบเขตโดยใช้สถานที่และสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ

“ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบในชื่อ  “ปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบรองราษฎรในภาคใต้”

     1.4 การจำกัดขอบเขตโดยใช้เวลาหรือยุคสมัยเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ

“ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบในชื่อ  “แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในยุครัฐบาลปัจจุบัน”

  1. วิธีการขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น ทำได้หลายวิธีดังนี้

2.1 การขยายขอบเขตโดยขยายประเด็นสำคัญ  ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ “ การพิมพ์ธนบัตรไทย”

ขยายเป็น “วงจรของธนบัตรไทย”

                 2.2 การขยายขอบเขตโดยกำหนดกลุ่มบุคคล  ตัวอย่างเช่น  จากหัวข้อ “ปัญหาเด็กเขมรเข้ามาขอทาน” ขยายเป็น  “ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย”

                 2.3 การขยายขอบเขตโดยใช้สถานที่และสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นหลัก  ตัวอย่างเช่น

จากหัวข้อ “น้ำตกทีลอซู” ขยายขอบเขตเป็น “น้ำตกในอุทยานแห่งชาติทางภาคเหนือ”

                 2.4 การขยายขอบเขตโดยการใช้เวลาหรือยุคสมัยเป็นหลัก   ตัวอย่างเช่น 

จากหัวข้อ “ การประกวดเพลงกล่อมลูก”  ขยายเป็น “วิวัฒนาการของเพลงกล่อมลูก”

การรวบรวมแหล่งสารสนเทศ

การเลือกเรื่องทำรายงาน ต้องเป็นเรื่องที่มีแหล่งข้อมูลหรือแหล่งสารสนเทศอย่างเพียงพอ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำทั้งในขณะที่พิจารณาตัดสินใจเลือกเรื่องและหลังจากเลือกเรื่องแล้ว คือ การสำรวจว่ามีแหล่งข้อมูลเรื่องที่ต้องการอยู่ที่ไหนบ้าง  มีวิธีการเข้าถึงได้อย่างไร รู้จักวิธีใช้เครื่องมือช่วยค้นประเภทต่างๆ เพื่อให้สามารถค้นคว้ารวบรวมข้อมูลที่ต้องการได้ครบถ้วน หลากหลายและทันสมัย

การวางโครงเรื่อง

การวางโครงเรื่องกับการรวบรวมแหล่งสารสนเทศมักจะดำเนินไปพร้อมๆกัน เพราะหัวข้อต่างๆ ที่จะนำมาจัดเรียงเข้าไว้ในเรื่องจะได้มาจากการศึกษาข้อมูลจากแหล่งสารสนเทศอย่างคร่าวๆ เมื่อวางโครงเรื่องเบื้องต้นไว้แล้ว ในระหว่างการค้นคว้า  อ่าน และบันทึกข้อมูล  อาจได้แนวคิดหรือแนวทางที่ชัดเจนขึ้น นำมาปรับเปลี่ยนโครงเรื่อง ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลา เพื่อความเหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุดของโครงเรื่อง  การวางโครงเรื่องที่ดีมีความสำคัญมาก เพราะใช้เป็นกรอบหรือแนวทางในการเขียนการค้นคว้า

การอ่านและจดบันทึกข้อมูล

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลามากที่สุด โดยผู้ทำรายงานต้องลงมืออ่านเอกสารหรือแหล่งสารสนเทศที่รวบรวมไว้  คัดเลือกข้อมูลที่ตรงตามความต้องการ แล้วจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้อย่างมีระบบ รวบรวมให้ครบถ้วนทุกหัวข้อตามที่วางไว้ในโครงเรื่อง เพื่อใช้ในการเรียบเรียงเนื้อเรื่องต่อไป

การเรียบเรียงเนื้อเรื่อง

ในการเขียนหรือเรียบเรียงเนื้อเรื่องรายงานการค้นคว้า  ผู้ทำรายงานจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์  จัดลำดับ  จัดประมวลแนวคิด  จากข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ แล้วนำมาเรียบเรียงด้วยสำนวนภาษาและแนวคิดของตนเอง  ประกอบกับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทั้งหลาย ในการเขียนต้องใช้ภาษาอย่างเหมาะสม  ใช้รูปแบบที่ถูกต้องเพื่อให้ผลงานออกมาน่าอ่านและมีคุณค่า

ในขณะที่เขียนเนื้อเรื่องต้องมีการอ้างอิงแหล่งสารสนเทศตามความเหมาะสม ทั้งนี้เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ได้จาการศึกษาค้นคว้า เมื่อนำมาเรียบเรียงไว้ในรายงาน ต้องมีการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาอย่างถูกต้องตามแบบแผน เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของมูล เพื่อเป็นหลักฐานแสดงความน่าเชื่อถือ และช่วยให้ผู้สนใจสามารถติดตามศึกษาค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเติมจากแหล่งที่อ้างอิงได้อย่างสะดวก การเขียนอ้างอิงมีกฎเกณฑ์และรูปแบบที่ต้องศึกษาเพื่อให้เขียนได้ถูกต้อง เช่นเดียวกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น  ตารางและภาพประกอบ  เป็นต้น

ในขั้นตอนนี้  สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การตรวจทานแก้ไขต้นฉบับรายงาน  เพื่อหาข้อผิดพลาดแล้วปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เรียบร้อย การตรวจทานต้องทำอย่างประณีตละเอียดลออ เพื่อให้ได้ผลงานที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด

การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง

            รายชื่อเอกสารหรือแหล่งสารสนเทศทุกรายการที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้าและอ้างอิงในเนื้อเรื่องจะต้องนำมาเขียนเรียบเรียงตามลำดับอักษร ในรูปแบบที่ถูกต้องตามหลักสากล รวมไว้ส่วนท้ายของรายงาน เรียกว่า บรรณานุกรมหรือรายการเอกสารอ้างอิง ซึ่งมีรูปแบบกฎเกณฑ์ในการเขียนที่ผู้ทำรายงานจะต้องศึกษา

การเขียนส่วนประกอบอื่น ๆ

         ขั้นตอนสุดท้ายของการทำรายงานการค้นคว้า คือการเขียนส่วนประกอบอื่นๆ นอกเหนือจากส่วนที่เขียนมาแล้ว  ได้แก่ ส่วนประกอบตอนต้น  อันประกอบด้วย ปกนอก  หน้าปกใน  คำนำ  สารบัญ  และส่วนประกอบตอนท้าย  นอกเหนือจากบรรณานุกรม  เช่น ภาคผนวก  จากนั้นก็จัดพิมพ์ ตรวจทานแก้ไข แล้วเย็บเล่มเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์

เอกสารอ้างอิง

พูลสุข   เอกไทยเจริญ. (2551). การเขียนรายงานการค้นคว้า . กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

ชุดข้าราชการ หญิงแขนสั้น
ชุดกากี
สั่งซื้อได้เลยจาก Shopee

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *