การสอบ(บรรจุครูผู้ช่วย)ครั้งสุดท้าย

เรื่อง : การสอบ(บรรจุครูผู้ช่วย)ครั้งสุดท้าย (เขียนจากชีวิตจริงของแอดมินครูเชียงราย)

เรื่องย่อ : เรื่องราวชีวิตของแอดมินเพจครูเชียงราย ล้มลุกคลุกคลานกว่าจะสอบบรรจุได้เป็นครูผู้ช่วย จากเด็กบ้านนอกที่เรียนหนังสือไม่เก่ง เรียนตามเพื่อนมาเรื่อยๆ ถูๆ ไถๆ จนจบปริญญาตรี สู่เส้นทางตำแหน่งครูอัตราจ้างโรงเรียนเอกชน แล้วเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนรัฐ ชีวิตพลิกผลันอยากได้เงินเดือนเพิ่มเลย(เสือก)ไปลงเรียนต่อปริญญาโท กว่า 5 ปีเต็ม ถึงจะเรียนจบจนได้มาพบกับประกาศรับสมัครสอบตำแหน่งพนักงานราชการ และได้รับตำแหน่งพนักงานราชการ ที่โรงเรียนบ้านเกิด แต่ว่าเป้าหมายสูงสุดของเขายังไม่เพียงเท่านี้ เป้าหมายสูงสุดของเขา คือการได้บรรจุเป็นข้าราชการครู
สารบัญ

ตอนที่ 1 เด็กบ้านนอก
ตอนที่ 2 เรียนตามเพื่อน
ตอนที่ 3 ชีวิตครูอัตราจ้าง
ตอนที่ 4 ชีวิตพนักงานราชการ
ตอนที่ 5 โอกาสครั้งแรก
ตอนที่ 6 หมดไฟ
ตอนที่ 7 ลาออก
ตอนที่ 8 วางแผนลาออก
ตอนที่ 9 เช็คตัวเอง ทำไมต้องเป็นครู
ตอนที่ 10 นักเรียน
ตอนที่ 11 สอบ สอบ สอบ
ตอนที่ 12. การสอบครั้งสุดท้าย

ตอนที่ 1 เด็กบ้านนอกเรียนไม่เก่ง

ผมเป็นเด็กบ้านนอก อยู่จังหวัดเชียงราย เป็นคนที่เรียนหนังสือไม่เก่งครับ วิชาที่ผมชอบเรียนส่วนใหญ่ ก็จะเป็นพวกวิชาที่ตรงข้ามกับการคำนวณครับ เช่น วิชาศิลปะ วิชาสปช. สลน. กพอ ครับ เพราะไม่ได้คำนวณอะไรมากมาย
ผมรู้ตัวว่าตัวเองเรียนหนังสือไม่เก่ง คะแนนสอบคะแนนแบบฝึกหัดมีน้อยมาก ผมจึงใช้วิธีการไปโรงเรียนให้ครูเห็นหน้าทุกวัน พยายามเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ทำการบ้านส่งงานครบ(เกือบ)ทุกชิ้นบางครั้งก็อาสาช่วยครูทำโน่นทำนี่ แอบหวังเล็กๆว่าจะได้คะแนนพิศวาส หรือที่เรียกกันว่าคะแนนจิตพิสัย ช่วยให้ผมผ่านพ้นเกรด 0 ไปอย่างหวุดหวิดทุกๆเทอม
หลังจากจบ ป.6 แล้วเพื่อนๆหลายคน ต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อโรงเรียนมัธยม ส่วนผมกะจะไปเรียนต่อโรงเรียนมัธยมชื่อดังในตัวเมือง แต่ว่าพอดีทางบ้านไม่อยากให้เดินทางไกล เลยให้เรียนโรงเรียนประจำอำเภอใกล้บ้านครับ ที่จริงไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็โม้ไปอย่างนั้นแหละครับที่จริงผมสอบไม่ติด 555
ตอนปิดเทอมหลังจากจบ ม.1 ผมใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์มาก แม่พาผมไปทำสวนทำนาทุกวัน พอดีทางอำเภอมีโครงการบวชภาคฤดูร้อน เพื่อนผมอยากลองเป็นนักบิน(บิณฑบาต) จึงมาชวนผมเข้าโครงการบวชภาคฤดูร้อน เข้าทางผมพอดี คือไม่อยากไปทำสวนทำนาว่างั้น แดดร้อน เหนื่อย จึงเข้าร่วมโครงการบวชภาคฤดูกับเพื่อนทันที ผมนี่ลงชื่ออย่างไว บวชไปบวชมาจะเปิดเทอมแล้ว กำลังจะสึกเพื่อกลับไปเรียนต่อ ม.2 เพื่อนดันไม่สึกครับ เลยบวชเรียนต่อกับเพื่อน เขามีเรียนตามเพื่อน ผมนี่บวชตามเพื่อน ฮาๆ เลยได้เรียนโรงเรียนวัด จนจบ ม.3 เป็นนักบินอยู่ 2 ปี ช่วงนั้นผมซึ้งในรสพระธรรมมาก หลังจบ ม.3 ผมรู้ตัวเลยว่าต้องไปทางสายอาชีพแน่ๆ เพราะว่าถ้าเรียนต่อสายสามัญคงไปไม่รอด อีกอย่างตอนนั้นพี่ชายผมก็เรียนช่างด้วย ทุกๆวันเวลาพี่ไปเรียน พี่จะใส่เสื้อช็อป กางเกงสแล็คขายาว รองเท้าผ้าใบ บิดรถมอเตอร์ไซค์ไปเรียน แหมเท่สุดๆ นี่แหละใช่เลย เราต้องมาสายนี้ ตอนนั้นคิดได้แค่นี้จริงๆ
และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมต้องเลือกสาขาที่จะเรียน สาขาที่ผมสนใจในตอนนั้นคือ สาขาวิชาสถาปัตยกรรม เพราะชอบขีดๆเขียนๆ ตอนไปสมัครสอบ ก็ไม่ได้บอกทางบ้านว่าจะลงเรียนสาขาวิชาสถาปัตยกรรม พอสอบได้ทางบ้านและญาติบอกว่า ไม่อยากให้เรียนสาขานี้ กลัวว่าจบมาจะไม่มีงานทำ กลัวลูกไม่รวยว่างั้น ที่จริงไม่ใช่เลย ไปฟังใครพูดมาก็ไม่รู้
เท่านั้นยังไม่พอ เหล่าบรรดาญาติสนิท มิตรสหาย ต่างก็เข้ามาร่วมเล่นด้วย ชักแม่น้ำทั้งห้ามากรอกใส่หูผมอีก สุดท้ายผมก็ใจอ่อน ยอมแพ้แก่พวกเขา เลยย้ายสาขา ไปลงเรียนสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
……………………………………

ตอนที่ 2 เรียนตามเพื่อน

ผมเรียนสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ จนถึง ปวช.3 มาแบบงงๆ ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะสอนซ่อมทีวี วิทยุ เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ที่ไหนได้เขาสอนเรื่องวงจรไฟฟ้า เรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สัญญาณต่างๆ อนาล็อก ดิจิตอล และอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ความรู้สึกของผมในตอนนั้นคิดว่าสาขานี้เรียนยากมาก ซึ่งผมมาคิดดูแล้วมันเป็นที่ตัวผมเองที่อ่อนวิชาคำนวณเมื่อใกล้จะจบ ปวช.3 ผมมีคำถามในใจว่าจะเลือกเรียนต่อหรือทำงานดีซึ่งตอนนั้นยังสองจิตสองใจอยู่ สุดท้ายก็เลือกเรียนต่อ เพราะเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า วุฒิ ปวช. เวลาไปสมัครงานจะได้เงินเดือนเท่ากับ วุฒิ ม.6 เรียนต่อ ปวส. อีก 2 ปี ดีกว่า เวลาไปสมัครงานจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ไม่รู้มันไปฟังใครมา ผมก็ดันเชื่อและเลือกที่จะเรียนต่อ ปวส. ตามคำบอกของเพื่อน
ผมเรียนต่อ ปวส. สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ที่มหาวิทยาลัยฯ ใกล้จะจบคิดว่าจะพอแล้วไม่เรียนต่อแล้วอยากไปทำงานหาเงินที่นิคมอุตสาหกรรมที่ จังหวัดลำพูน อยากเป็นช่างประจำโรงงานใส่ชุดฟอร์มเท่ๆไว้เหล่สาวโรงงาน ซึ่งช่วงใกล้จะเรียนจบ ก็มีอาจารย์ที่มหาลัยได้เข้ามาแนะแนวให้นักศึกษา สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ว่า ถ้าเรียนต่อปริญาตรีที่มหาลัย ก็จะมีอยู่สองหลักสูตร
หลักสูตรแรก คือหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม
และหลักสูตรที่สองคือ หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม
หลักสูตรแรกเรียนจบแล้วอาจารย์บอกว่าจะได้เป็นวิศวกรพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง หลักสูตรที่สองเรียนจบแล้วจะได้เป็นครู ได้อบรมสั่งสอนให้ศิษย์ให้มีวิชาความรู้เป็นคนดีมีคุณค่าของสังคมหลักสูตรที่สอง ที่อาจารย์แนะนำ เรียนจบแล้วจะได้เป็นครู คำว่า “ครู” ผมสะดุดกับคำนี้มาก ผมกลับมาคิดที่บ้านหลายรอบ ว่าจะเรียนหลักสูตรไหนดี
ขณะที่กำลังอาบน้ำสระผม ผมนึกขึ้นได้ว่าผมเคยพูดกับเพื่อนว่า “โตขึ้นจะไม่เป็นครูเด็ดขาด ไม่ชอบอยู่ในกฏระเบียบ ไม่ชอบเข้าแถวหน้าเสาธง ไม่ชอบไว้ผมสั้น อยากไว้ผมยาว อยากใส่รองเท้าผ้าใบ ไม่อยากใส่รองเท้าหนัง ไม่อยากมาโรงเรียน” ซึ่งตอนนั้นเราคุยกันเรื่องอาชีพในอนาคตที่อยากจะเป็น หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็ได้คำตอบว่า ผมจะเรียนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม ผมจะเป็นวิศวกร
วันหนึ่งที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย เพื่อนสนิทผมเข้ามาถามผมว่า ตกลงจะเรียนอะไร ใกล้จะจบ ปวส. แล้ว ได้คำตอบหรือยัง ผมก็บอกไปว่าจะเรียนวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต อยากเป็นวิศวกร ผมถามเพื่อนผมกลับว่าแล้วนายหล่ะจะเรียนอะไร เขาบอกว่าจะเรียนครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต อยากลองเรียนครูดู ผมหัวเราะชอบใจอย่างนายเนี่ยนะจะเรียนครู เรียนก็ไม่เก่ง พูดก็ไม่เป็น เวลาไปสอนหนังสือเด็กที่ไหนจะไปเชื่อฟัง ไปไม่รอดหรอก
เพื่อนผมไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้ม และบอกกับผมว่า “คนเรามันพัฒนากันได้”
ผมกลับมาบ้านก่อนเข้านอน ผมคิดถึงคำพูดของเพื่อนและอาจารย์ว่า ผมอยากเป็นอะไรกันแน่ คิดทบทวนอยู่สองสามวัน จนได้ข้อสรุป สุดท้ายแล้วผมก็เลือกเรียนตามเพื่อน ผมเลือกเรียนหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม เป็นครูสอนวิชาอิเล็กทรอนิกส์…
……………………………………

ตอนที่ 3 ชีวิตครูอัตราจ้าง

หลังจากเรียนจบ ปี 2550 ชีวิตของผมก็ระเหเร่ร่อน มีโอกาสได้เดินทางไปเป็นครูอัตราจ้างโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มเป็นครูอัตราจ้างครั้งแรกในชีวิตก็เจอของดี ของดีที่ว่าคือ โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่ใกล้จะถูกยุบนั่นเอง มีนักเรียนไม่ถึงสามสิบคน ถามหาบ้านพักเหรอครับ ไม่มีครับ ห้องพักของผมคือห้องพยาบาล วันดีคืนดีก็โดนผีอำอยู่ไปไม่นาน ลุงภารโรงก็ลาออก ครูใหญ่เลยขอให้ผมทำหน้าที่ภารโรงไปด้วย ผมเลยควบสองตำแหน่ง รู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ โทรไปบอกพ่อแม่ว่าได้สองตำแหน่ง พ่อแม่ดีใจมากกกกก…
ทุกๆวัน ผมมีหน้าที่คือ
เช้า ปิดไฟตามอาคาร เปิดประตูรั้วโรงเรียน กวาดใบไม้ใบหญ้า รดน้ำต้นไม้นิดหน่อย
กลางวัน สอนหนังสือ
เย็น ปิดประตูโรงเรียน หกโมงเย็นเอาธงชาติลงจากเสา เปิดไฟตามอาคาร
เงินเดือนตอนนั้นได้ 6,000 บาท หมดไปกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่มีเหลือเก็บ ผมอยู่โรงเรียนแห่งนี้ได้ปีกว่าก็ลาออก ย้ายไปอยู่จังหวัดพิจิตร
ผมว่างงานอยู่สองอาทิตย์ก็ได้งานใหม่ ผมไปสมัครเป็นครูอัตราจ้างสอนวิชาคอมพิวเตอร์ ที่วิทยาลัยฯ แห่งหนึ่ง ที่จริงผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์สักเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้บ้าง เพราะตอนเรียนปริญญาตรี ผมทำปริญญานิพนธ์เกี่ยวกับเว็บไซต์บทเรียนออนไลน์ และผมก็ซ่อมคอมพิวเตอร์เป็นลงวินโดว์ ลงโปรแกรมได้บ้าง เพราะเพื่อนสอน
ขณะที่ผมสอนอยู่ที่วิทยาลัย ผมพยายามหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และมีโอกาศได้สร้างเว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมา สองสามเว็บและประสบการณ์ที่สำคัญที่ผมไม่เคยลืมเลย ก็คือการได้เข้าไปสอนนักศึกษาผู้ด้อยโอกาสในเรือนจำ คือผมต้องเข้าคุกทุกวันพุธนั่น เป็นอะไรที่แปลกใหม่ไม่เคยลืมจริงๆครับ ทำให้ผมได้เห็นชีวิตของคนอีกโลกหนึ่ง และการใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ผมลาออกจากวิทยาลัย และกลับมาบ้านเกิดที่เชียงรายอีกครั้ง ครั้งนี้ผมพกความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาด้วย ผมไปสมัครเป็นครูอัตราจ้างโรงเรียนแถวบ้านได้สอนวิชาคอมพิวเตอร์ ผมเป็นครูอยู่ที่นี่ 2 ปีกว่า เห็นเพื่อนครูอัตราจ้างหลายคนไปสอบบรรจุครูผู้ช่วย ก็นึกน้อยใจที่เราไปสมัครสอบไม่ได้ เพราะคุณสมบัติของเราไม่ผ่าน คือคุณวุฒิไม่ตรงตามที่เขาประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาผมก็ตั้งปณิธานว่า ถ้ามีโอกาสได้สอบผมจะต้องสอบขึ้นบัญชีในลำดับต้นๆให้ได้
……………………………………

ตอนที่ 4 ชีวิตพนักงานราชการ

วันหนึ่งผมเข้าไปค้นหางานในเว็บไซต์หางานของจังหวัดเชียงรายผมเห็นประกาศรับสมัครพนักงานราชการโรงเรียนมัธยมที่ผมเคยเรียนตอน ม.1 ผมไม่ลังเลที่จะขออนุญาต ผอ. เพื่อไปสอบในครั้งนั้น
ผอ.ท่านก็ใจดีอนุญาตให้ไปสอบ แต่ในตอนนั้นผมเริ่มเรียนปริญญาโท ในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว ซึ่งท่านก็ได้พูดกับผมว่า ถ้าเรียนจบปริญาโทจะเพิ่มเงินเดือนให้ตามวุฒิ แต่ผมนี่สิกลับจะหนีท่านไปสอบพนักงานราชการ เอายังไงดี ผมก็คิดอยู่นาน จนได้คำตอบ
ผมบอกกับท่านว่า เรื่องที่ตกลงกันไว้ว่าถ้าหากผมเรียนจบปริญญาโทแล้ว ท่านจะเพิ่มเงินเดือนให้ตามวุฒิ ถ้าผมสอบครั้งนี้ได้หรือไม่ได้ก็ถือว่าโมฆะก็ได้ครับ ผมขอเอาเงินเดือนเหมือนเดิมก็ได้ครับ
และสุดท้ายผมก็สอบได้ ตำแหน่งพนักงานราชการ
……………………………………

ตอนที่ 5 โอกาสครั้งแรก

สอบกรณีพิเศษรอบที่ 1
ผมเป็นพนักงานราชการได้ 1 ปี ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ก็มีประกาศสอบครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ ผมก็เปิดดูประกาศ คิดในใจไว้แล้วว่าคงไม่มีเอกเรา อายุงานครบ 3 ปี มั้ย ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเราคงไม่มีสิทธิ์สอบ ปีนี้คงได้แต่นั่งมองเขาไปสอบตาปริบๆเหมือนทุกๆปีแน่ๆเลย
แต่โอ้ พระเจ้า! มีแบบนี้ด้วยเหรอนี่ เขาเปิดสอบ เอกทั่วไป คือเอกไหนจะมาสอบก็ได้ โอ้พระเจ้ามันยอดมาก 555
ดวงตาของผมเปร่งประกาย ตาลุกวาว ไฟในตัวผมลุกโชน ขนแขนสแตนอัพ(ไม่ใช่ปวดขี้นะครับ) หลังโรงเรียนเลิก ผมไม่รีรอที่จะไปร้านหนังสือมองหาหนังสือเตรียมสอบครูผู้ช่วย
ผมซื้อหนังสือจากหลายๆสำนัก จนเงินในกระเป๋าเหลือไม่ถึงร้อยบาท หอบหนังสือขึ้นรถบึ่งรถมาบ้าน เพื่อนๆชวนไปสังสรรค์ก็ไม่ไป สาวๆชวนไปกินหมูกะทะก็ไม่ไป รู้สึกหลายคนในตอนนั้นคงหมั่นไส้ผมมาก ทำเป็นหยิ่ง
แต่หารู้ไม่ผมซุ่มซ้อมอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่งทุกวัน ทำแบบฝึกหัดอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะมันคือครั้งแรกของผม ที่ผมจะได้สอบบรรจุครูผู้ช่วย ผมต้องทำให้ได้ เพราะโอกาสสำหรับคนอย่างผมมาไม่บ่อย ยิ่งเป็นเอกที่ไม่ตรงกับประกาศอยู่ด้วย ผมต้องทำให้ได้
ก่อนไปสอบผมจุดธูปขอพรเจ้าที่เจ้าทาง ไหว้พระไหว้เจ้า ไหว้พ่อไหว้แม่ ไหว้แม้กระทั่งหลานตัวน้อยๆ เผื่อรอยยิ้มของหลานผมจะทำให้ผมมีพลัง ขอให้ผมสอบได้
ขณะขับรถไปสนามสอบ ผมเปิดเพลงปลุกใจตลอดเวลา ครั้นจะเปิดเพลงไก๋จ๋า ก็คงจะไม่มัน ผมเปิดเพลงแสงสุดท้าย ความเชื่อ ของวงบอดี้แสลม กลับไปกลับมา ขับรถเกือบจะเลยสนามสอบ เพราะมัวแต่ปลุกใจ
ขณะรอเข้าห้องสอบผมใจเต้นตึกๆตัก อยากจะอวก อยากจะเรอ เมื่อกรรมการคุมสอบบอกให้เข้าห้องสอบ หลังจากได้กระดาษคำถามและคำตอบ ผมลงมือฝนข้อสอบจนกระดาษคำตอบเกือบทะลุอย่างเมามัน จนไส้ดินสอหักไปหลายครั้ง (จะเว่อไปไหน)
ป้ากรรมการคุมสอบมองหน้าผม และยิ้มบอกให้ผมใจเย็นๆ ค่อยๆทำ
ผมสบตาป้ากรรมการคุมสอบและยิ้มหวานให้ป้า บอกในใจขอบคุณครับ เราจะได้เจอกันวันรายงานตัว 555
สุดท้ายประกาศผลสอบ จากผู้เข้าสอบ 67 คน ผมได้ที่ 4 แต่เสียดายเขาเอาที่หนึ่งกับที่สองครับ… อืม… ไม่เป็นไรผมยังไม่ท้อ
……………………………………

ตอนที่ 6 หมดไฟ

บ่ายวันจันทร์อันแสนหน้าเบื่อ เข้าคาบเรียนที่ 5
เสียงนกร้องดังมาแว่วๆ ดวงตาของผมกำลังจะปิดลงเรื่อยๆ
หนังท้องตึงหนังตาก็เรื่อมหย่อน
เสียงเด็กคุยกันเสียงดังจอแจๆ บางก็ไล่เอาไม้บรรทัดฟาดกัน
บางก็ด่าพ่อล้อแม่ บรรยากาศแบบนี้แหละ ที่ผมได้เห็นทุกวัน
แต่ไม่อาจจะทำให้ความง่วงของผมหายไป
เสียงแค่นี้ไม่สามารถทำให้ผมสะทบสะท้านได้
ผมอยู่ที่นี่เข้าปีที่ 2 แล้ว มีนักเรียนหลายคนนึกสงสัยว่าทำไมครูไม่ย้ายไปไหนสงสัยครูรักโรงเรียนแห่งนี้
แต่ลึกๆ ใครจะรู้ว่า ที่ผมยังไม่ไปไหน
เพราะผมสอบบรรจุครูผู้ช่วยไม่ติดนั่นเอง…
ก่อนหน้านี้ที่ผมตัดสินใจเรียนครู เพราะอยากจะเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงสังคม เพื่อให้เด็กเยาวชนได้มีความรู้พัฒนาประเทศชาติให้เจริญ
“ประมาณว่าข้าเกิดมาเพื่อเป็นครู
เด็กไทยจะต้องพัฒนา ชาติจะต้องเจริญ”
และความล้มเหลวจากการสอบไม่ผ่าน ก็ทำให้ผมต้องแปรสภาพจากเคยเป็นครูหนุ่มใหม่ไฟแรง ตอนนี้ผมกลายเป็นครูหนุ่มไฟมอดไปเรียบร้อย เดินไปเดินมาเหมือนกับผีดาดา ผีกองกอย เฉื่อยชาไม่กระตือรือล้น ประมาณว่ามีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ สอนไปวันๆ แบบไม่มีอนาคต
บางครั้งก็เหมือนมีเสียงใครไม่รู้มาตะโกนใส่หูผม
“นายกำลังทำอะไรอยู่เนี๊ย”
“นายทำไม ไม่อ่านหนังสือเตรียมสอบ”
“นายจะเฉื่อยชาแบบนี้ไม่ได้นะ”
“นายเหมาะจะไปขายผัก มากกว่าจะเป็นครู”
“ลาออกซะ แล้วไปทำนา”
“นายคาดหวังอะไรในชีวิตกันแน่”
ผมอยากตอบกลับเสียงนั้นดังๆว่า “ผมไม่รู้โว้ย”
ชีวิตผมรู้แค่เพียงว่าเงินเดือนอันน้อยนิดทุกวันนี้
จะต้องแบ่งไปจ่ายค่างวดรถยนต์ และมือถือที่ยังผ่อนไม่หมด
เพียงเท่านั้น…
ในแต่ละวันที่ผ่านไป ครูพนักงานราชการอย่างผม ก็พบกับโลกแห่งความจริง โลกของการทำงาน และอีกหลายเรื่องที่ไม่เคยมีใครบอกผมมาก่อนในวงการการศึกษาเลย สิ่งเหล่านี้ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง
ในการทำงานแต่ละวัน ผมค่อยๆ รู้ปัญหาของการทำงานมากขึ้น
เวลาเจอเพื่อนครูต่างโรงเรียน หลายคนจะเริ่มทักทายกัน
ด้วยคำว่า เป็นไงบ้างช่วงนี้งานเยอะไหม เป็นไงสอนทันไหม
ผอ.ที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง กระทรวงเปลี่ยนนโยบายอีกแล้ว
งานพิเศษเยอะจังเลย ไม่มีเวลาสอนเด็ก
ได้ไปอบรมสัมนา อีกแล้ว บลาๆฯลฯ
เหมือนกับว่ามันเป็นคำทักทายที่ครูไทย ต้องทักทายกัน เมื่อเจอหน้ากัน มากกว่าคำว่า เป็นไงสบายดีไหม
ผมว่าถ้า สพฐ. มีรางวัล “หนึ่งแสนครูบ่น” ครูหลายท่านคงได้รางวัลนี้ทุกปี
“เอ้านักเรียนเปิดหนังสือหน้าสี่สิบห้า แล้วจดลงในสมุด”
……………………………………

ตอนที่ 7 ลาออก

มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมเริ่มอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเอง หนังสือสอนการลงทุน สอนเล่นหุ้น หนังสือหาเงินออนไลน์ หนังสือสร้าง Passive Income (ไม่ต้องทำงาน แต่ก็ยังมีรายได้) พ่อรวยสอนลูก
ผมศึกษาหาข้อมูล และลงมือทำอย่างจริงจัง สรุปคือ มันไปได้สวย ผมสามารถหาเงินออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ผมมีรายได้จากอินเตอร์เน็ตมากกว่าเงินเดือนของผมเกือบสองเท่า ผมสามารถผ่อนรถได้ และมีเงินใช้จ่ายอย่างคล่องมือ โดยที่ผมไม่ต้องลงมือทำอะไรมากมาย ที่สำคัญมันไม่ผิดกฏหมาย
ผ่านไปเกือบครึ่งปี…
ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับการเป็นครูแน่ๆ เพราะต่อมาผมได้อ่านหนังสือ การลาออกครั้งสุดท้าย ของคุณภาณุมาศ ทองธนากุล
ดูคลิปของคุณโจน จันได ฟังธรรมะของพระไพศาล วิสาโล และหนังสือธรรมะอีกหลายเล่ม ผมจึงสรุปได้ว่า ความสุขของคนเราคือการได้พึ่งพาตนเอง ได้มีชีวิตเป็นของตัวเองเป็นเจ้านายตัวเอง มีอิสระในการดำเนินชีวิต ไม่มีหนี้สิน
หลายคนอาจจะบอกว่า ไอ้นี่สอบบรรจุไม่ได้ แล้วมาโทษโน่น โทษนี่ อ้างโน่น อ้างนี่ !!!
หลายคนยังอยู่ในระบบได้ หลายคนอาจจะมีความสุข ที่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน รักในอาชีพครูจริงๆ ก็ได้
คนเป็นครูต้องรักในงานสอน ทำเพื่อเด็กๆ ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกๆ อาชีพล้วนแล้วแต่มีเกียรติมีความสำคัญ เป็นห่วงโซ่กัน
ใช่แล้วครับ ผมไม่เถียง
… แต่ผมจะขอยกตัวอย่าง เนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ การลาออกครั้งสุดท้าย ที่เขาได้เขียนไว้ ในบทหนึ่ง ซึ่งผมพอสรุปได้ประมาณนี้
… การทำมาหากินเป็น ส่วนหนึ่งของชีวิต
เหมือนเป็นวิชาหลัก ที่เราทุกคนต้องเรียน
ส่วนวิชาเพิ่มเติม วิชาหาความสุข วิชาสุขภาพดี วิชารักครอบครัว วิชามองโลกในแง่ดี วิชาธรรมฯ หลายคนไม่ได้ลงเรียนวิชานี้
หลายคนได้เกรดสี่ วิชาหลัก
และอีกหลายคน ติดศูนย์ วิชาเพิ่มเติม
เป้าหมายหลักของผม ไม่ได้อยากลาออกจากงานเพื่อเป็นเจ้านายตัวเอง หาเงินให้ได้มากๆ กว่าอาชีพครู แต่เป้าหมายหลักของผม คือ ผมอยากเอางานออกจากผม เพื่อผมจะได้มีเวลาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องเซ็นชื่อตอกบัตร เข้างานเช้าออกงานเย็น
มีเวลาได้พักผ่อน อ่านหนังสือ ถ่ายรูป ทำงานศิลปะที่ผมชื่นชอบ อยู่แบบพอเพียง แค่นั้นเอง…
……………………………………
 

ตอนที่ 8 วางแผนลาออก

เดือนพฤษภาคม 2555 ผมวางแผนลาออกจากระบบ แต่ก่อนที่ผมจะลาออก ผมได้วางแผนสร้างเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาไว้ เพราะว่าผมยังมีความอยากที่จะเป็นครูอยู่ลึกๆ ยังอยากสอนนักเรียนอยู่ เพราะว่าการศึกษา ถือว่ากุญแจที่ช่วยเปิดโอกาสให้กับทุกชีวิตบนโลกนี้ได้เรียนรู้ตลอดชีวิตและปฏิเสธไม่ได้ว่าในขณะนี้อินเตอร์เน็ตถือเป็นช่องทางหนึ่งที่เราสามารถเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา สำหรับคุณครูนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา ประชาชนทุกเพศทุกวัย ได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ แบบฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
ผมคิดชื่อเว็บไซต์อยู่หลายวัน จนสุดท้ายสรุปได้ชื่อเว็บไซต์ครูเชียงรายดอทเน็ต (www.kruchiangrai.net) เหตุผลคือ ผมเป็นคนจังหวัดเชียงราย อยากจะขอตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และบ้านเกิดด้วยการตั้งชื่อเว็บไซต์ครูเชียงราย เพื่อให้จังหวัดเชียงรายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก
ผมใช้เวลาเกือบ 2 เดือนในการเขียนบทความ ป้อนข้อมูลเข้าสู่เว็บไซต์ และสร้างแฟนเพจครูเชียงราย เนื้อหาของเว็บไซต์และแฟนเพจในตอนแรกๆ จะเป็นข่าวสารการศึกษา และการใช้งานเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน
เข้าเดือนที่ 3 เนื้อหาของเว็บไซต์เริ่มเป็นแบบบูรณาการมีเนื้อหาที่หลากหลายมากขึ้น
เวลาผ่านไป… ผมเริ่มพูดเรื่องลาออกกับทางบ้าน ทีแรกก็พูดเล่นๆ แหย่ๆ ว่าจะลาออก ทุกคนตลกหัวเราะ บางครั้งก็แซวเล่นเฮฮากันไป ไม่คิดอะไรมาก สงสัยไม่คิดว่าผมอยากจะลาออกอย่างจริงจัง
แต่หลังๆ มา เมื่อผมพูดบ่อยๆขึ้น ทางบ้านเริ่มไม่ตลก พ่อกับแม่บอกว่าถ้าลาออกจะไปทำงานอะไร อยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ที่พ่อแม่ทำงานหนักก็เพราะอยากให้ลูกสบาย ทำงานมีเงินเดือน แต่นี่ลูกกลับจะมาลาออก
แม้ว่าผมจะบอกท่านไปว่า ตอนนี้ผมทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต ก็ได้เงินมากกว่าเงินเดือนอีกนะ แต่ท่านก็ยังไม่ยอม ท่านบอกว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน เกิดวันหนึ่งรายได้จากอินเตอร์เน็ต ของเราหายไปจะทำอย่างไร ช่วงนั้นผมเครียดมาก อยากลาออกแต่ทางบ้านไม่ให้ลาออก
วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากคุณวีระพันธ์ โตมีบุญ นักเขียนคอลัมน์ รู้เหนือรู้ใต้ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ขอสัมภาษณ์ผมลงหนังสือพิมพ์ เรื่อง การเผยแพร่งานวิจัยในชั้นเรียน สิ่งนี้เองที่ทำให้ผมคิดได้อะไรบางอย่าง…
……………………………………

ตอนที่ 9 เช็คตัวเอง ทำไมต้องเป็นครู

ผมกลับมาเช็คตัวเองอีกครั้ง หลังจากได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เรื่องการทำเว็บไซต์ครูเชียงรายดอทเน็ต ว่าผมต้องการจะเป็นครูจริงๆ หรือไม่ เพราะอะไรเหตุใดทำไมผมถึงอยากเป็นครู
เพราะได้เป็นข้าราชการ
เพราะเป็นเกียรติแก่วงตระกูล
เพราะสวัสดิการ เพราะมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน
เพราะเงินเดือน
เพียงเท่านี้หรือ ผมว่ามันคงไม่ใช่… ผมคิดว่าคนจะเป็นครู ต้องมีอุดมการณ์ หรือเหตุผลมากกว่านี้ ผมพยายามค้นหาคำตอบ ค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ…
มีอยู่วันหนึ่ง ผมกลับมาอ่านบทความ ที่ผมได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ผมสะดุดตรง ย่อหน้าสุดท้ายของบทความได้เขียนว่า
“ ดูเนื้อหาบนเว็บไซต์แล้ว จะเห็นความตั้งใจของผู้พัฒนา จนเกิดสงสัยว่าทำขึ้นเพื่ออะไร ก็มีคำตอบที่น่าชื่นชม เชื่อว่าออกมาจากใจ คือหวังจะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และบ้านเกิด ด้วยการเผยแพร่ความรู้ที่มีอยู่ ซึ่งแม้จะไม่มากมาย แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ เพื่อการศึกษา”
ผมว่านี่แหละใช่เลย เราเกิดมาในชาตินี้ ก่อนตายเราต้องฝากความดีไว้ให้แผ่นดินสักครั้ง ด้วยการเป็นครู เพื่อการศึกษาไทย ถ้าไม่มีครูคงไม่มีเราได้ถึงทุกวันนี้ เท่านี้หละครับผมได้คำตอบเลย ว่าทำไมผมต้องเป็นครู (ใส่รูป ฝากไว้ให้แผ่นดิน)
……………………………………
 

ตอนที่ 10 นักเรียน

มีอยู่วันหนึ่งที่ผมต้องไปเยี่ยมบ้านนักเรียนตามโครงการ เยี่ยมบ้านนักเรียน โดยโครงการนี้ให้ครูประจำชั้นไปเยี่ยมบ้านนักเรียนในชั้นทุกคน เพื่อให้ครูได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่บ้านของนักเรียน ว่าที่บ้านนักเรียนเป็นอย่างไรบ้าง และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ปกครองเผื่อว่ามีปัญหาจะได้ร่วมกัน แก้ไขปัญหาและช่วยเหลือนักเรียนได้
วันนั้นผมไปเยี่ยมบ้านนักเรียนหลายหลัง และรวมถึงบ้านของภูมิ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ภูมิเด็กผู้ชายเรียบร้อย เรียนดี นิสัยดี เป็นหัวห้อง ผมถามภูมิว่าอยู่บ้านกับใคร เขาบอกว่าบ้านหลังนี้อยู่กันสี่คน มีเขาและตากับยาย และน้องชายอีกหนึ่งคน ซึ่งพ่อกับแม่ของเขาไปทำงานในต่างจังหวัด
ทุกๆ เย็นหลังจากเลิกเรียน เมื่อเขากลับมาถึงบ้านเขาจะต้องตักน้ำใส่ในตุ่ม กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว รอตากับยาย เพราะว่าตากับยายไปทำสวนจะกลับมาค่ำๆ สวนน้องนั้นตอนเย็นยายจะไปรับที่โรงเรียน แล้วพาไปสวนด้วย เพราะไม่มีใครดูแลในตอนเย็นๆ
ภูมิอาศัยอยู่กับตาและยายเขาต้องช่วยเหลือตายายทุกอย่างเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการซักผ้าเอง ตักน้ำใส่ตุ่ม รวมถึงทำอาหาร ขับรถไปส่งยายจ่ายตลาดในตอนเช้ามืด บางครั้งเสาร์อาทิตย์เขาก็จะไปรับจ้างทำความสะอาดบ้านให้กับบ้านข้างๆ โดยค่าแรงที่ได้รับ เขาก็จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนเป็นการแบ่งเบาภาระของตาและยายไปในตัว ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ถามเขาว่า พ่อกับแม่ส่งเงินมาให้บ้างหรือเปล่า
จากเรื่องราวที่ผ่านมาในวันนั้น วันที่ผมได้ไปเยี่ยมบ้านและพูดคุยกับภูมิ ทำให้ผมได้รู้ว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ทุกๆวันนี้ จะส่งผลให้เขาแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จในวันข้างหน้าแน่นอน
มีคนบอกผมว่า
“เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ มันจะส่งผลตอบแทนมาให้เราในวันไหน
แต่เชื่อไว้เถอะว่า สักวันหนึ่ง ผลที่เราทำมันต้องสะท้อนกลับมาหาเราอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน”
ทำไมต้องเป็นครู
……………………………………
 


ตอนที่ 11 สอบ สอบ สอบ

สอบรอบทั่วไปครั้งที่ 1
ด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างทำให้ผมกลับมาเป็นคนมีไฟอีกครั้ง
ผมเริ่มอ่านหนังสือ และโหลดข้อสอบเก่าจากอินเตอร์เน็ตมาฝึกทำทุกวัน
ปี 2557 ผมมีโอกาสสอบรอบทั่วไปครั้งที่ 1 ครั้งนั้นผมมั่นใจมากเพราะอ่านมาเยอะ และฝึกทำข้อสอบอยู่ทุกวัน แต่เมื่อประกาศผลสอบ กลับไม่มีชื่อผมเลย
ผมมานั่งคิดดูว่า ข้อสอบวิชาไหนที่ผมทำไม่ได้ สุดท้ายแล้วผมคิดได้ว่า วิชาเอกนั่นแหละที่ผมทำไม่ค่อยได้

สรุป ผมตกวิชาเอก! ซึ่งผมคิดว่าหลายท่านที่สอบไม่ติด ส่วนใหญ่แล้ว ก็น่าจะตกวิชาเอกกันเยอะเช่นกัน เพราะคิดว่าวิชาเอกเราสอนอยู่ทุกวัน มันไม่น่าจะยาก ข้อสอบคงจะง่าย ไม่ต้องอ่านอะไรมาก แต่เราคิดผิดครับ วันนั้นผมจึงรู้ว่าวิชาเอกนี่แหละตัวดีเลย

 

สอบกรณีพิเศษรอบที่ 2
หลังจากผิดหวังกับการสอบรอบทั่วไป ทางเขตก็เปิดสอบกรณีพิเศษ ครั้งนี้ผมจัดหนักที่วิชาเอก อ่านวิชาเอกอย่างเดียว มีอ่านวิชาอื่นบ้าง เช่น เวลาพักเที่ยง และส่วนใหญ่แล้ว เช้าเย็น ผมเน้นแต่วิชาเอกเท่านั้น
วันไปสอบผมทำข้อสอบวิชาเอกได้ แต่ที่ผมทำไม่ได้คือวิชาการศึกษา วันนั้นผมรู้ตัวเลยว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
สุดท้ายแล้วอย่างที่ผมคิดไว้เลยไม่มีผิด ถ้าซื้อหวยคงจะถูกแน่ๆ
ผลสอบออกมา ผมไม่ผ่านครับ ไม่มีชื่อผมเลยแม้แต่น้อย

เพราะผมทำวิชาการศึกษาไม่ได้

 

สอบรอบทั่วไปครั้งที่ 2
ผมสมัครสอบรอบทั่วไปครั้งที่ 2 ครั้งนี้ ผมต้องเดินทางไกลหน่อย จากจังหวัดเชียงราย ไปสอบจังหวัดนครสวรรค์ วันไปสมัครสอบผมเดินทางออกจากบ้านตี 2 ให้เพื่อนไปส่ง เปลี่ยนกันขับรถ ไปถึง สถานที่สมัครสอบ 10 โมงเช้า ขับรถกลับบ้านถึงบ้าน 4 ทุ่ม เช้ามาต้องเป็นวิทยากรอบรม ICT ให้กับครูอีกเหนื่อยมากๆ
สำหรับการสอบในครั้งนี้แปลกกว่าครั้งอื่นๆ คือ ถ้าเราสอบภาค ก ได้คะแนนไม่ถึง 60% เราก็จะไม่มีสิทธิ์สอบภาค ข บวกด้วยระยะทางในการไปสมัครสอบครั้งนี้ ผมต้องเดินทางไกลมาก ทำให้ผมคิดว่า การสอบครั้งนี้ผมจะพลาดไม่ได้
อีกวันถัดมาผมกลับมาถึงบ้านเครียร์งานทุกอย่าง เพื่อเตรียมตัวอ่านหนังสือ ช่วงนั้นเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผมเก็บตัวไม่ไปเที่ยวไหนเลย อ่านแต่หนังสืออย่างเดียว เพื่อนก็ชวนอยู่นั่นแหละครับ กระแนะกระแหน แซวบ้างเป็นธรรมของวัยรุ่น555 ผมถึงขั้นต้องปิดโทรศัพท์
…..และแล้วก็ถึงวันสอบ
วันสอบผมตั้งใจมาก แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!
เมื่อผมเปิดข้อสอบวิชาความรอบรู้ หน้าผมถึงกับซีด แทบจะเป็นลม นี่มันข้อสอบอะไรกันนี่ กฎหมายข้าหายไปไหน!
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
พระราชบัญญัติ การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551
จากกฎหมายที่ได้กล่าวมา ทั้งหมด 6 ฉบับ แต่ข้อสอบออกเพียง 6-7 ข้อ จากข้อสอบทั้งหมด 50 ข้อ 50 คะแนน หลังจากสอบเสร็จ ผมถึงกับเข่าทรุด แหงนหน้ามองท้องฟ้า แล้วถามฟ้าอีกครั้งว่า “กฎหมาย ของข้าหายไปไหนนนนนนน….(เสียงเอคโค่)”
กะจะจัดหนักๆเน้นๆ การัวๆ ทำแต้มให้อยู่ในอันดับดีๆ แต่มาเจอแบบนี้มันเจ็บจุงเบย… อุตส่าห์อ่านกฏหมายมา แหม… ออก 6 ข้อ !!!
ส่วนวิชาที่สอง วิชาความสามารถทั่วไป ข้อสอบออกด้านตัวเลขยากมากๆ ยกกำลังเป็นพันๆ ผมยิ่งถึกเรื่องตัวเลขอยู่แล้ว แหมมาเจอแบบนี้ กาไม่ถูกเลย ขนาดชนิดที่ว่าคนที่เรียนเอกคณิตศาสตร์มาผมไปแอบฟังเขาคุยกันยังทำไม่ทันเลย เวลา 1 ชั่วโมง มันไม่พอ จริงๆ งานนี้เศร้าไปตามๆกัน
วิชาที่สาม พอถูๆไถๆ ได้บ้าง เพราะว่ามันไม่ได้หนีไปไหน
เพราะเป็นเรื่องของ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู ซึ่งเราประพฤติปฏิบัติ และอ่านอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็มีประเด็นอยู่เหมือนกันว่า ทางผู้ออกข้อสอบได้นำจรรยาบรรณวิชาชีพ ของ ก.พ. มาออกด้วย ซึ่งไม่ใช่ จรรยาบรรณวิชาชีพครู
แหม… ผมจะไปเป็นครูนะครับไม่ใช่จะไปเป็น…

น่าเห็นใจหลายท่านที่ตั้งใจสอบในปีนั้นอยู่เหมือนกัน ที่ข้อสอบไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ฯ ทำให้ผู้เข้าสอบหลายท่านรวมทั้งผม ไม่ผ่าน ภาค ก. กันมากถึงมากที่สุดจริงๆ

 

สอบรอบทั่วไปครั้งที่ 3
ก่อนหน้านั้น โรงเรียนของผมเจอเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย แผ่นดินไหวในช่วงนั้นก็มีหน่วยงานต่างๆ มากมายได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ และทางโรงเรียนต้องเร่งสร้างอาคารเรียน ทำให้ผู้บริหาร คณะคุณครู บุคลากร รวมทั้งผม ต้องมีภาระงานเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า เพื่อพัฒนาโรงเรียนให้กลับมาเป็นดังเดิม
ความเน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าจากการทำงานหนัก ทำให้ผมไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ทุกๆ วันผมกลับมาถึงบ้านก็อาบน้ำนอนเลย เพราะอ่อนเพลียมากๆ
มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนของผมก็แชร์ประกาศสอบครูรอบทั่วไปมาที่หน้าเฟสบุ๊ค ผมคลิกเข้าไปดู พบว่าปีนี้เอกผมเปิดสอบหลายเขต และผมก็ตัดสินใจไปสมัครสอบที่ สพป.ตาก เขต 2 (แม่สอด)
การเดินทางไปสมัครสอบครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่า ถึงผมจะเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าจากการทำงานแค่ไหน ก็ต้องอ่านหนังสือ เพราะว่า กว่าจะเดินทางจากเชียงราย ไป สพป.ตาก เขต 2 มันไกลแค่ไหน
หลังจากสมัครสอบเสร็จเรียบร้อย ผมกลับมาบ้านก็เริ่มอ่านหนังสือทันที ผมอ่านหนังสือเรียงจาก วิชาที่ผมไม่ค่อยถนัดก่อนและฝึกทำข้อสอบวิชาเอกทุกวัน ผมวางหนังสือไว้ทุกจุดในบ้าน ในห้องน้ำก็มี
……..
วันไปสอบ ผมจำได้ดีผมนั่งริมหน้าต่าง หน้าต่างของโรงเรียนที่เป็นสนามสอบ อยู่ติดกับสนามกีฬาอำเภอ และวันนั้นก็มีหน่วยงานหนึ่งมาจัดกีฬาสีพอดี มีการเปิดเครื่องเสียง มีการเชียร์กีฬากันอย่างสนุกสนาน เสียงที่มาจากสนามดังเข้ามาในห้องสอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมนี่แทบจะทำข้อสอบไปด้วย เต้นไปด้วย เรื่องของสมาธิไม่ต้องพูดถึงแตกกระเจิงครับ อ่านโจทย์ข้อสอบแล้วต้องกลับมาอ่านใหม่อีกสองรอบสามรอบ ทำให้เสียเวลาในการทำข้อสอบเป็นอย่างมาก แต่ผมก็ทำข้อสอบทันเวลา
วันนั้นผมรู้สึกหงุดหงิดมาก หลังจากสอบเสร็จผมกลับมาบ้านถอดใจ ว่าปีนี้คงสอบไม่ติด
……. ผ่านมาหลายวัน ผมไปเที่ยวบ้านเพื่อนกำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ เพื่อนผมคนหนึ่งก็ส่งไลน์มาหา แต่ผมยังไม่เปิดอ่านเพราะว่า กำลังคุยกับเพื่อนอยู่ จนเขาต้องโทรมาบอกว่าให้ผมเปิดไลน์อ่านด้วย ผมค่อยๆ กดเปิดอ่านใจเต้นตุ้มต่อมๆ ต้องมีอะไรแน่ๆ
ผลปรากฏว่าผมสอบติดได้ขึ้นบัญชี ลำดับที่ 51 ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
วันนี้ผมอยากจะขอบคุณ หน่วยงานนั้นที่จัดกีฬาสีข้างสนามสอบ ที่ทำให้ผมต้องอ่านโจทย์หลายๆรอบ จนสอบติด

ผมจึงรู้ว่า การอ่านโจทย์หลายๆ รอบทำให้เราได้ทบทวน วิเคราะห์ข้อสอบ จนทำให้เราสามารถทำข้อสอบได้

 

สอบกรณีพิเศษรอบที่ 3
หลังจากการสอบรอบทั่วไปครั้งที่ 3 ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้น และมีกำลังใจที่จะอ่านหนังสือสอบเพื่อเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูในการสอบในครั้งนี้ ผมไม่ตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว รู้สึกเฉยๆ และไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะว่าถ้าคาดหวังไว้มาก ถ้าผิดหวังขึ้นมาผมกลัวว่าจะเสียใจรับไม่ได้เหมือนที่ผ่านมา
ครั้งนี้ผมวางแผนการเตรียมตัวสอบ โดยผมเน้นในการอ่านข้อสอบ โดยผมเริ่มอ่านวิชาเอกก่อน ต่อด้วยวิชาการศึกษา และวิชาความรอบรู้ วิชาวินัยในอาทิตย์สุดท้าย ก่อนจะสอบ 1 อาทิตย์
ผลการสอบ ผมสามารถทำได้เป็นที่น่าพอใจ คือผมได้ลำดับที่ 10 จาก 24 คน ที่สอบ แต่ผมก็ไม่ยังไม่ได้ที่ 1 แต่ผมก็ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะผมได้ขึ้นบัญชีไว้แล้วที่ สพป.ตาก เขต 2

 

12. การสอบครั้งสุดท้าย

สอบกรณีพิเศษรอบที่ 4
จากวันนั้นผมเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างในการเตรียมตัวสอบ
ผมเริ่มคิดค้น หาเทคนิคต่างๆ ด้วยตัวเอง และมีการนำคำแนะนำจากเพื่อนๆ ที่สอบผ่านมาประยุกต์ใช้กับตนเอง
โดยเฉพาะครูเอกดอย เจ้าของหนังสือ “ครูผู้ช่วย ทําแค่นี้ก็สอบได้” ได้แนะนำผมหลายอย่าง เขาไม่ได้ติวให้ผม เขาแค่บอกเทคนิคในการเตรียมตัวสอบ ให้ผมทำตัวให้สบายๆ ทำสมาธิ วิชาไหนเราไม่ได้ ให้อ่านวิชานั้นก่อน วิเคราะห์ตัวเอง เช็คความรู้ว่าเราอ่อนตรงไหน
ผมเริ่มทำตัวเป็นติวเตอร์ แต่งข้อสอบเอง แจกจ่ายให้เพื่อนๆ ทางแฟนเพจเฟสบุ๊ค และเว็บไซต์ของตัวเอง และเริ่มทำหนังสือ Ebook แนวข้อสอบครูผู้ช่วย สิ่งเหล่านี้เองทำให้ผมได้เป็นผู้ให้ และได้ทบทวนไปในตัว ตอนผมแต่งข้อสอบ
อีกอย่างหนึ่งที่ผมทำคือ วิชาไหนที่ผมคิดว่าผมอ่อน ผมก็จะใช้วิธีการหาหนังสือแนวข้อสอบมา จากนั้นเขียนโจทย์แล้วก็ตอบลงในสมุด ผมคัดหลายรอบจนผมจำโจทย์และเฉลยได้
และแล้วก็มีประกาศสอบครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ
ครั้งนี้ เขตใกล้บ้านผมประกาศเปิดสอบ ทำให้ผมมีไฟเป็นอย่างมาก ผมอ่านหนังสืออย่างหนัก เพราะว่านี่คือโอกาสเดียว ที่ผมจะพลาดไม่ได้
และผมต้องทำให้สำเร็จจงได้
ในวันสอบผมมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าผมทำได้
และแล้วผลประกาศสอบก็มีชื่อผมอยู่ลำดับที่ 1
และแล้วเขตก็ประกาศผลสอบ
ผลประกาศสอบ มีชื่อผมอยู่ลำดับที่ 1
ผมสอบได้ ผมทำได้ ผมทำสำเร็จแล้ว ^___^
 

สุดท้ายนี้ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสอบบรรจุได้สำเร็จทุกท่านครับผม และก็มีคำคมมาฝากครับ

ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน

  1. การสร้างกำลังใจให้คนอื่นสามารถต่อชีวิตคนที่หมดหวังได้ดีเลยค่ะ ขอบคุณกับประสบการณ์ดีๆนะค่ะเราต้องก้าวต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *